วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เม่นแคระ



7-lovely-pet-price-below-3000-bath6
เม่นแคระ
เจ้าเม่นแคระหรือเม่นจิ๋ว เป็นหนึ่งในสัตว์ที่หลายคนนิยมเลี้ยงมากๆ พอลองไปสำรวจราคาตามร้านออนไลน์ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ตัวละ 300 – 3,000 บาทค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สีขนและอายุของเจ้าเม่นแคระด้วยนะคะ
วิธีเลี้ยงเม่นแคระ เลี้ยงได้ไม่อยาก สำหรับเม่นเคระนั้นสามารถที่จะเลี้ยงดูแลได้ง่ายแต่ว่าเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและสามารถที่จะมีความสุขทั้งตัวเม่นและคนเลี้ยงเอง  การเลี้ยงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการดูแลให้มีความถูกต้อง  หาดเม่นแคระเพศผู้เลี้ยงไว้ด้วยกันอาจจะต่อสู้กันได้  ควรที่จะแยกตรง
                กรง
                ที่อยู่อาสัยสำหรับเม่นหรือว่าจะเป็นกล่อง   ถึงจะเป็นแม่นแคระแต่มีความสามารถที่จะปืนป่ายได้ดี  และถ้าไม่ระวังอาจจะสิ่งออกกรงก็ได้  สำหรับกรงหรือว่ากล่องนั้นตามจริงควรจะเป็นกรงมากกว่า  สูงอย่างน้อย 12 นิ้ว  ยาว 24นิ้ว  กว้าง 24 นิ้ว  หากกรงที่เลี้ยงแคบไปอาจจะทำให้อารมร์ที่หงุดหงิด  และซึมเศร้า  นอนบ่อยและเป็นโรคอ้วนตามาได้               ตำแหน่งกรง  อากาศถ่ายเทได้สะดวก  ไม่โดนแสงในตอนกลางวัน  และมีแสงสว่างที่เพียงพอ
                พื้น
                เม่นเป็นสัตว์ที่ชอบคุ้นเขี่ย  ฉะนั้นพื้นควรอ่อน อาจจะให้ผ้าที่ไม่ต้องนุ่มเท่าไหร่  จะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้  กระดาษหรือว่ากล่องที่ตัดเป็นชั้นเล็กๆ  ซังข้าวโพดบดเป็นที่นอนค่อนข้างดีหรือ ขี้กบสน  เป็นที่นอนได้ ไม่ควรใช้พื้นที่เป็นลอดอาจจะทำให้เท้าเกิดการบาดเจ็บได้
                อุณหภูมิ
                การอยู่อาศัยนั้นควรมีอุรหภูมิมากกว่า 24 องศาเซลเซียล  เม่นมีความต้องการจำศีลในฤดูหนาว  แต่บ้านเราเป็นเมืองร้นไม่จำเป็นต้องการให้ความอบอุ่นมากนัก  หรือว่าเพิ่มความร้อนให้ 
                อาหาร
                อาหารหรือว่าพืชที่เม่นต้องการนั้นอาจจะเป็นอาหารสำเร็จรูปที่สำหรับเลี้ยงเม่น  ปัจจุบันมีจำหน่ายด้วย  แต่สามารถเลี้ยงด้วยอาหารแมวได้ด้วยนอกจจากเป็นอาหารที่ดีแล้วยังช่วยในเรื่องการป้องกันฟันพุได้ด้วย  ควรเลือกอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไขมันที่ต่ำ  อาจจะเป็นอาหารที่เป็นเนี้อปรุงสุก พวก ไก่  หมู  จิ้งหรีด  ตั๊กแตน  มีความเหมาะสมสำหรับอาหารว่างหรือเป็นการบำรุง  ควรหลีกเลี่ยงที่มีการป่นเปื้อนยาฆ่าแมลงด้วย  ผักอย่างเช่น  แครรอท  มันเทศ  ข้าวโพด  อาหารสัตว์เป็นอาหารที่เหมาะกับเม่นที่ยังเล็กอยู่เพื่อการเจริญเติบโตที่ดี  ซึ่งพวกตั๊กแตน  จิ้งหรีดมีขายทั่วไประวังเรื่องสารพิษตกค้างด้วย
                อาหารที่ต้องห้าม  อะโวคาโด  หัวหอม  องุ่น  ช้อคโกแลต  ปลาทุกชนิด  เนื้อดิบ  ไข่แดง  นมที่ไม่ไช่นมแม่น และเม่นเองไม่ชอบกินถั่ว  มีปริมาณไขมันที่สูงด้วยจึงควรหลีกเลี่ยง
                ของเล่น
                ของเล่นเอาไว้ออกกำลังได้  จะเป็นวงล้อพาสติกเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ  ของเล่นสามารถที่จะทำให้สุขภาพที่แข็งแรง  ป้องกันไขมันส่วนเกินและยังทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีด้วย   ควรเลือกที่มีความปลอดภัย  และยังมีของเล่นอื่นๆอีก  การทำที่ห้อยของให้เล่น  อุโมงค์สำหรับรอดเล่น
                จานให้อาหาร
                ควรเป็นจานเซรามิกขนาดเล็กที่สามารถให้กับสัตว์ฟันแทะได้  สูงไม่เกิน 3 นิ้ว  เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 6 นิ้ว
การให้อาหาร
                การให้อาหารปกติให้อาหารแมวก็สามารถที่จะทำได้  เม่มักจะกินอาหารพวกแมลงเป็นธรรมชาติของเขา  แต่ควรที่จะบำรุงด้วยอาหารเสริมต่างๆ  อย่างเช่น  ผัก  จิ้งหรัดหรือว่าเนื้อสัตซว์ปรุงสุก  การให้ก็ประมาณ 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์  แต่การให้อาหารก็ให้มากไม่ได้ก็จะอ้วนได้เช่นกัน  การให้ผลไม้ที่จะไม่มีไขมันเช่น  มะเขือเทศ  แอป เปื้ล  แต่ว่าเป็นอาหารที่เม่นไม่ค่อยสนใจ  อาจจะใช้วิธีผสมกับอาหารอย่างอื่นเช่นกุ้งสุกผสมกันให้กินได้  จะได้มีวิตามินที่สูง  หากยังเล็กอยู่ควรให้นมแม่ธรรมชาติ
การทำความสะอาด
                ควรทำอย่างสม่ำเสมอ  1 ครั้งต่อสัปดาห์  ทำความสะอาดที่นอนกรง  หรือว่าอาจจะเปลี่ยนที่รองใหม่
สุขภาพ
                เม่นเป็นสัตว์ที่แพ้ง่าย  และสามารถที่จะเกิดปัญหาโรคอ้วนได้  ควรระมัดระวังการให้อาหารไม่ให้เกิด  สามารถที่จะสังเกตได้ว่าเม่รเราอ้วนหรือเปล่า  ปกติมันสามารถที่จะขดได้  แต่ถ้าตัวใหญ่เกินจนขดไม่ได้นั้นล่ะเริ่มที่จะอ้วนแล้ว  ควรที่จะมีเครื่องวักอุณหภูมิไว้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง  การดูแลเขาตั้งแต่เบี้ยงต้นจะทำให้สุขภาพที่แข็งแรง  เพราะว่าสัตวพทย์ในบ้านเรายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญนัก
                แนวโม้นที่จะเป้นโรคอื่นได้อย่างเช่น  โรคเส้นเลือดตับ  โรคมะเร็งที่สามารถทำให้เสียเสียชีวิตในเวลาไม่นาน  มีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอย่างเช่นโรคไวรัสที่กระทบไปยังระบบประสาท  จมูกมีความสำคัยสำหรับการดูแลสุขภาพได้  อย่างเช่นระบบทางเดินหายใจโรคปอด  ความเครียดสามารถที่จะทำให้เม่นแคระท้องเสียได้ และเม่นมีอาการแพ้ที่ผิวหนังได้  ควร
การจับเม่นแคระ
                เนื่องจากเม่นแคระ  ถึงจะเรียกว่าเม่นแต่ก็สามารถที่จะจับได้แต่ก็ต้องีขั้ยตอนในการระมัดระวัง  จับอย่างถะนุถนอม  เพราะว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บเล้กๆ  น้อยๆ ได้  ระยะเวลาในการจับไม่ควรเกิน 20 นาทีต่อครั้ง  ในช่วงเย็นอาจจะตื่นขึ้นมาตกใจได้  และอาจจะไม่พอใจที่ไปปลุก  ควรที่จะสร้างความคุ้นเคยกับกลิ่นที่มือเรา  พยายามจับเบาๆ  ในการจับใช้สองมือตัดขึ้นมาก่อน  หากเม่นม้วนแล้วควรที่จะค่อยๆ  เพราะว่าอาจจะโกรธ  แต่ถ้ามันรู้สึกดีหรือว่ากลิ่ง  พยามอย่ารุนแรงหากมันรู้สึกว่าปลอดภัยก็จะคลายออกมาเอง  อาจจะวางไว้ตักของเรา  แล้วมันก็จะพยายามสำรวจกัยวกับคุณ
                ข้อควรระวัง  การจับเม่นนั้นจะต้องสร้างความคุ้นเคยจากลลินที่มือ  ควรที่จะไม่ทาโลชั่น  หรือว่าถุงมืออาจะสร้างความสับสนได้  เม่นที่เป็นหนามของมันอาจจะเจ็บหากมีการจับที่รุนแรงเนื่องจากมีประสาทสัมผัสอยู่มาก







































วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561

อิกัวนา สัตว์เลื้อยคลาน

อิกัวนา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหา
อิกัวนา (อังกฤษและสเปนiguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าในสกุล Iguana ในวงศ์อิกัวนา (Iguanidae) และในวงศ์ย่อย Iguaninae
พบกระจายพันธุ์ในบริเวณบ้านธรรมสรอเมริกากลาง รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ในภูมิภาคแคริบเบียนและพอลินีเซีย
กิ้งก่าสกุลนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในเชิงวิทยาศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 1768 โดยโยเซฟุส นิโคเลาส์ เลาเรนที นักธรรมชาติวิทยาชาวออสเตรียในหนังสือของตนเองที่ชื่อว่า Specimen medicumExhibens synopsin Reptilium Emendatam cum Experimentis circia venena
มีความยาวมากกว่า 20 เซนติเมตร โดยมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับตะกอง (Physignathus cocincinus) ซึ่งอยู่ในวงศ์ Agamidae ที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย แต่มีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน คือ เป็นกิ้งก่าที่กินพืชเป็นอาหาร และส่วนใหญ่จะอาศัยและหากินบนต้นไม้ ไม่ค่อยลงมาบนพื้นดิน[1]
แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนิด I. iguana พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางและเป็นที่รู้จักกันมากกว่า นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง จนกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในบางประเทศ[2][3] และนิยมรับประทานเนื้อกันเป็นอาหารพื้นเมืองของภูมิภาคบ้านปลื้ม[4]
คำว่า "อิกัวนา" เป็นศัพท์ที่แปลงมาจากภาษาของชาวไทยซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของแถบกรุงเทพมาจากคำว่า Iwana[5]

5 อันดับนกสวยงาม

5 อันดับนกสวยงาม ที่น่าเลี้ยงมากที่สุด ในปี 2018 หาซื้อได้ทั่วไป

Publish 2018-07-13 20:27:21 
FacebookTwitterGoogle+LinePinterest

1.นกหงส์หยกเป็นนกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในฐานะเป็นสัตว์เลี้ยง จัดเป็นนกที่เลี้ยงง่ายเพาะขยายพันธุ์ได้ง่าย มีราคาถูก ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ต่าง ๆ จนมีสีสันและลวดลายต่าง ๆ สวยงามกว่าในธรรมชาติ โดยพฤติกรรมตามธรรมชาติ นกหงส์หยกจะอยู่รวมกันเป็นฝูง ดังนั้นถ้าเลี้ยงรวมในกรงใหญ่ นกจะมีปฏิสัมพันธ์กันเอง แต่ถ้าเลี้ยงเพียงตัวเดียวหรือคู่เดียว ก็ควรมีของเล่นต่าง ๆ ให้ หรือกระจก สำหรับส่องเพื่อที่นกจะเข้าใจว่ามีตัวอื่นอยู่ร่วมด้วย และใช้สำหรับส่องเพื่อไซ้แต่งขน อาหารหลักของนกหงส์หยก คือ ข้าวฟ่าง, ผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ และอาจให้แร่ธาตุเสริม คือ แคลเซียม จากลิ้นทะเลหรือกระดองปลาหมึกด้วย ราคาประมาณ 100 บาท
 





2.นกเลิฟเบิร์ด เป็นนกแก้วที่ตัวเล็ก มีสายพันธ์ แยกเป็น 9 ชนิด มีถิ่นกำเนิดจากทวีป แอฟริกา เป็นนกที่มีเสน่ห์ ขี้เล่น จะอยู่กันเป็นคู่ มีสีสันมากมาย เริ่มต้นทีแรกเลยจะเป็นสีเขียว แล้วคนนำมาเพาะเลี้ยงแล้วพัฒนาสายพันธ์ ผสมออกมามีสีต่างๆ มากมายจนตอนนี้มีสีม่วงแล้ว อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 15 - 20 ปี ประเทศไทยสามารถเพาะพันธ์นกได้ตลอดทั้งปี ทำให้คนไทยส่วนมากนิยมเลี้ยงนกชนิดนี้  ราคาประมาณ 500 ขึ้นไป

northbirding

3.นกซันคอนัวร์ เป็นนกยอดฮิตติดอันดับมายาวนาน ตัวเล็กกะทัดรัด อยู่ในพันธุ์ปากขอ สีสันเมื่อโตเต็มวัยจะเป็นสีเหลืองสดปนสีส้ม สะดุดตามาก ฝึกให้เชื่องได้ง่าย เนื่องจากตัวเล็กเลี้ยงง่ายและค่าตัวไม่แพงมากจึงได้รับความนิยมสูง ลูกนกป้อนหาซื้อได้ทั่วไปราคา 4,000-5,000 บาท





4.ค๊อกคาเทล เป็นนกแก้วสายพันธุ์เล็ก ซึ่งเจ้านกสายพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นที่หงอนถิ่นกำเนิดของมันอยู่ในประเทศออสเตรเลีย มีนิสัยรักสงบ ไม่ชอบเสียงโหวกเหวก ถ้าเป็นนกตัวผู้จะชอบร้องเพลง หากเราฝึกดีๆ โดยการเปิดเพลงเดิมซ้ำๆ ให้เขาฟังจนชิน บางตัวก็ถึงกับร้องเพลงได้เลยทีเดียวนะ แต่เสียงอาจจะไม่ชัดเจนเหมือนนกแก้วชนิดอื่นเท่าไรนัก ความสามารถนี้ก็เป็นเสน่ห์ของเจ้านกค๊อกคาเทลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไทยนิยมเลี้ยง รวมถึงเจ้านกพันธุ์นี้ยังเชื่อฟังง่าย และชอบให้เจ้าของมีปฏิสัมพันธ์กับมัน เช่น ลูบหัวมันเบาๆ และหากอยากจะเลี้ยงจริงๆ ให้เลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นลูกนกนะคะ เพราะถ้าเราสอนหรือฝึกอะไรให้เขา เขาจะทำตามอย่างเชื่อฟังมากกว่านกที่โตแล้วนั่นเองและราคาเพียงหลักร้อย




5.นกกระตั้ว หรือนกคอกคาทู สามารถเลียนเสียงต่างๆ ได้เหมือนนกแก้ว นิสัยค่อนข้างเชื่อง ไม่ก้าวร้าว สีทีนิยมคือตัวสีขาวหงอนสีเหลือง คนนิยมนำมาเลี้ยงเพราะฝึกได้ง่ายแม้จะไม่ฉลาดเท่านกแอฟริกันเกรย์ก็ตาม ค่าตัวลูกนกเกิดใหม่ๆ เริ่มต้นที่หลักหมื่นบาท



วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สายพันธุ์กระต่าย

ข้อมูลปี 2010 สหรัฐอเมริกาได้เก็บข้อมูลจากสายพันธุ์กระต่ายที่ผู้เลี้ยงนำเข้าประกวดในงานประกวดที่จัดโดย ARBA (American Rabbit Breeders Association) 10 อันดับยอดนิยม ลองมาดูกันว่ามีพันธุ์อะไรบ้าง แต่ละพันธุ์ก็มีความน่ารักต่างกันออกไป
1. มินิเร็กซ์ (Mini Rex)
มินิเร็กซ์ เป็นกระต่ายขนาดเล็ก ขนนุ่มเหมือนกำมะหยี่ เป็นกระต่ายที่อารมณ์ดี เหมาะสำหรับเป็นสัตว์เลี้ยง ผู้เลี้ยงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตัดแต่งขน เพียงแค่ใช้ฝ่ามือลูบหลัง ขนที่ตายก็จะหลุดออกไป
2. เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟ (Netherland Dwarf)
เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟ หรือเรียกสั้นๆว่าดอร์ฟ พันธุ์นี้มีหูสั้น หัวกลมเป็นรูปแอปเปิ้ล ขนาดตัวกะทัดรัด และมีสีที่หลากหลายมาก แม้แต่เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟสามสี (calico) ก็มี หากใครต้องการกระต่ายประเภทสวยงามและคาดเดาได้ พันธุ์นี้แหละที่เหมาะสม
3. ฮอลแลนด์ลอป (Holland Lop)
ฮอลแลนด์ลอปอาจโตเต็มที่ได้ถึง 1.8 กิโลกรัมเศษๆ เป็นกระต่ายขนาดกลาง รูปร่างเล็กแต่ลำตัวแน่น กลม หัวสั้น และหูตก นิสัยโดยยทั่วไปของฮอลแลนด์ ลอปคือเรียบร้อย แต่ตัวเมียมักจะค่อนข้างขี้อาย ขนยาวปานกลาง แต่ก็ต้องการการดูแลเรื่องแปรงขนเหมือนกัน
4. ซาตินแองโกลา (Satin Angora)
ซาตินแองโกลาเป็นกระต่ายที่มีขนยาวตลอดทั้งตัว, แก้ม และบางครั้งครอบคลุมถึงปลายหูด้วย ขนของกระต่ายพันธุ์นี้ส่องประกายแวววาวเหมือนผ้าซาติน จึงทำให้ได้ชื่อว่าซาติน แองโกลา ลำตัวยาวขนาดกลาง และรูปร่างกลม หัวเป็นรูปไข่ และหูตั้ง สายพันธุ์นี้อาจหนักได้ถึงประมาณ 2.7 - 4 กิโลกรัม
5. ดัตช์ (Dutch)
กระต่ายพันธุ์ดัตช์ โตเต็มที่ได้ตั้งแต่ 1.3 - 2.3 กิโลกรัม มีรูปร่างที่กลม สั้น สีของกระต่ายพันธุ์ดัตช์เป็นเอกลักษณ์มาก คือจะเป็นสีหนึ่งตั้งแต่บริเวณหูลงไปถึงแก้มและอีกด้านลงไปจะเป็นสีขาวลงไปถึงอก เป็นพันธุ์ที่น่าเลี้ยง อารมณ์ดี
6. นิวซีแลนด์ (New Zealand)
ชื่อของสายพันธุ์ "นิวซีแลนด์" อาจทำให้เข้าใจผิดว่ามาจากนิวซีแลนด์ แต่จริงๆแล้วกระต่ายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดจากอเมริกา ปกติน้ำหนักตัวสูงถึง 5 กิโลกรัม กระต่ายพันธุ์นิวซีนแลนด์ดั้งเดิมจะมีขนสีขาว แต่ตอนหลังสีขนเริ่มมีหลากหลายขึ้นเนื่องจากมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับกระต่ายพันธุ์อื่นๆ ผู้เลี้ยงพันธุ์นี้ต้องเตรียมอาหารไว้เยอะๆเนื่องจากนิวซีนแลนด์ต้องกินอาหารเยอะ เพราะมีขนาดตัวที่ใหญ่นั่นเอง
7. เร็กซ์ (Rex)
เร็กซ์เป็นกระต่ายขนาดใหญ่ น้ำหนักระหว่าง 3 - 4.5 กิโลกรัม หากใครต้องการกระต่ายตัวใหญ่ ขนนุ่มเหมือนซาตินไว้กอด พันธุ์นี้แหละที่เหมาะสม แต่กระต่ายตัวผู้มีแนวโน้มจะค่อนข้างก้าวร้าวหากไม่ได้ทำหมัน
8. มินิลอป (Mini Lop)
มินิลอปโตเต็มที่อาจหนักถึง 2.7 กิโลกรัม รูปร่างขนาดกลาง โดยรวมเป็นพันธุ์ที่น่ารัก แต่ถ้าเทียบกับพันธุ์อื่นๆจะกระตือรือร้อนน้อยกว่า ผู้เลี้ยงต้องหาวิธีกระตุ้นหลากหลายกว่าจะได้เห็นพันธุ์นี้แค่ส่ายหาง และต้องเตรียมอุปกรณ์ไว้แปรงขนเนื่องจากพันธุ์นี้จะผลัดขนค่อนข้างเยอะ
9. เจอร์ซี วูลลี (Jersey Wooly)
เจอร์ซี วูลลีเป็นกระต่ายพันธุ์ที่น่ารักมาก น้ำหนักโตเต็มที่คือ 1.3 กิโลกรัม มีขนหนาฟู และนิสัยเรียบร้อยมาก จึงเหมาะที่จะเป็นกระต่ายที่เลี้ยงในบ้าน แต่กระต่ายพันธุ์นี้ต้องการการแปรงขนอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง และถี่ขึ้นเวลากระต่ายโตขึ้นและมีการผลัดขน
10. ฟลอริดาไวท์ (Florida White)
ฟลอริดาไวท์เป็นกระต่ายขนาดกลาง ลำตัวกลม สั้น หัวกลม และหูตั้ง และเหมือนกับชื่อสายพันธุ์ จะมีสีขาวอย่างเดียวและมีตาสีชมพู ฟลอริดาไวท์จะค่อนข้างเชื่องหากได้รับการฝึกให้คุ้นเคยกับคนตั้งแต่เด็ก และอาจจะต้องมีการทำหมันเพื่อควบคุมพฤติกรรมให้เรียบร้อย

สุนัขพันธุ์ปอมเมอรีเนียน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สุนัขพันธุ์ปอม


ลักษณะทั่วไป

สุนัขปอมเมอเรเนียนหรือเรียกสั้นๆ ว่า น้องปอมอยู่ในกลุ่ม Toy Group มีขนาดกระทัดรัด หลังสั้น ขนชั้นล่างอ่อนนุ่ม แน่นทึบ ขนชั้นนอก ยาว ฟู มีมาก ค่อนข้างหยาบ ตำแหน่งโคนหางสูง ขนหางแน่น เป็นพวง หางวางราบบนหลัง ปอมส่วนใหญ่ ท่าทางตื่นตัว ร่าเริง อยากรู้อยากเห็น แสดงความฉลาดให้เห็นได้เสมอ มีย่างก้าวที่คล่องแคล่ว สง่างาม และมั่นคง


ความเป็นมา


บรรพบุรุษของน้องปอมย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์

เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นน้องปอมในปัจจุบัน ครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์

ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น

แสดงว่าสุนัขพันธุ์ปอมนี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก

ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์ ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว